ครอบครัวเล็ก ๆ ของเรา เริ่มต้นมีเพียง ป๊ะป๋ากับหม่าม้า เริ่มต้นสร้างฐานะด้วยกันเพียง 2 คน แรก ๆ ก็ยังไม่คิดจะมีผู้สืบสกุล แต่ด้วยความที่ไปดูหมอดู เค้าทักว่า เรา 2 คน มีลูกยาก เราก็เลยคุยกันว่า งั้นปล่อยเลยละกัน ก็ได้สมหวัง แถมท้องแรกยังเป็นเด็กผู้ชายอีก เราก็ได้แต่เฝ้าประคบประหงม มีการจดไดอารี่ไว้ตลอด และแล้วก็ถึงวันที่เราต้องจดจำไปจนตาย
เราตั้งท้อง ไม่มีอาการแพ้ท้องเหมือนคนอื่น ๆ อยากแต่จะนอน เราก็บำรุงครรภ์สุดฤทธิ์ แรก ๆ ดื่มนมวันละเกือบลิตร กินอาหารที่ใคร ๆ บอกว่า มีประโยชน์ต่าง ๆ จนตัวเริ่มบวม ๆ ตอนท้องได้ 8 เดือน หมอประจำที่ทำงานเรา เค้าบอกว่า ให้ไปให้หมอที่เราฝากครรภ์ตรวจเบาหวานซะนะ เราก็บอกหมอที่เราฝากครรภ์ แต่หมอกลับบอกว่า ไม่ต้องตรวจแล้ว ใกล้จะคลอดแล้ว เราก็เลยไม่ได้ตรวจเบาหวาน ยิ่งใกล้วันคลอด เราก็รู้สึกว่า เหนื่อยง่าย เดินนิดหน่อยก็เหนื่อยง่าย ทำอะไรก็เหนื่อยง่ายไปหมด ความรู้สึกนี้ เราเลยต้องหาอะไรมากินเพื่อเพิ่มพลังงาน และเราก็อยากกินน้ำหวานมาก ๆ เราให้แฟนไปซื้อน้ำหวานมาเก็บไว้ในตู้เย็น ไม่ถึง 2 วัน น้ำหวานขวดนั้นก็หมด เรารู้สึกสดชื่นขึ้น
ถึงวันเสาร์ เราต้องไปตรวจครรภ์ หมอก็ตรวจอยู่นานผิดปกติ ซึ่งทุกครั้งหมอจะตรวจเร็วมาก หมอเอาเครื่องฟังเสียงหัวใจเด็กมาจอที่ท้อง หาเสียงหัวใจตั้งนาน วัดความดัน ก็ปกติ ก็เลยให้กลับบ้าน และนัดกันว่า วันพุธให้มานอนที่ รพ. เพื่อเตรียมคลอดในวันพฤหัส เราก็ดีใจ ที่จะได้เห็นหน้าลูกชายสุดที่รัก เรา 2 คนเลยไปฉลองก่อนด้วยการไปดูหนังที่โรงหนังฯ เมื่อเข้าไปที่โรงหนัง เรารู้สึกว่า อากาศเย็นมาก หนาวจริง ๆ เดินนิดหน่อยก็ต้องหยุดพักตลอด เมื่อกลับถึงบ้าน ก็เตรียมข้าวของต่าง ๆ ที่จะต้องไปใช้ที่ รพ. แต่เอ๊ะ... ทำไมลูกน้อยไม่ค่อยดิ้นก็ไม่รู้ เราก็คิดไปว่า ลูกคงจะตัวโต คับไปหมด เลยไม่ค่อยดิ้น (คิดผิดมาก จริง ๆ แล้วเด็กใกล้คลอดจะต้องดิ้นมาก ๆ ถึงจะดี)
วันอาทิตย์ ลูกก็ไม่ค่อยดิ้นเหมือนเดิม แต่เราไม่กล้าไป รพ. คิดว่า รพ.คงจะหยุด เพราะเป็น รพ.รัฐบาล แต่เราก็เฝ้าสังเกตอาการ บางครั้งก็มีดิ้นบ้าง แต่ไม่แรง จนถึงเช้าวันจันทร์ก็มีความรู้สึกว่า เจ็บท้องน้อย ก็รีบบอกให้ป๊ะป๋าพาไป รพ.
เมื่อถึง รพ. พบกับหมอเวรประจำตึกคลอด ครั้งแรกจะมีพยาบาลเอาเครื่องมาฟังเสียงหัวใจเด็ก ซึ่งก็ยังได้ยินอยู่ และก็มีหมอเวรมาฟังอีก ก็ยังได้ยินเสียงหัวใจเด็กเหมือนกัน แต่พอหมอเวรอีกคนหนึ่งมา กลับไม่ได้ยินแล้ว และก็ส่งทำอัลตร้าซาวน์ทันที ก็ไม่พบหัวใจเด็กเต้นเหมือนกัน รอจนหมอที่เราฝากครรภ์มา หมอก็แจ้งให้ทราบ แต่ด้วยว่าตอนนั้น หูเราอื้อไปหมด ฟังไม่รู้เรื่อง ป๊ะป๋าต้องมานั่งปลอบใจอยู่ตั้งนาน เราได้แต่ร้องไห้ ได้แต่สวดมนต์ภาวนาว่า ขอให้มีปาฏิหารย์ทีเถิด แต่คำขอของเราไร้ผล เราต้องสูญเสียลูกน้อยของเราไปจริง ๆ หมอทำอัลตร้าซาวน์ให้ใหม่อีกครั้ง และก็บอกว่า เด็กเสียแล้วนะ เราช็อคจนพูดไม่ออก หมอถามเราว่า จะรอให้เด็กหลุดออกมาเอง หรือจะผ่าเลย เราก็บอกว่า ให้ผ่าเลย เราคงทำใจไม่ได้
ป๊ะป๋าไม่ร้องไห้ให้เราเห็น แต่กลับไปที่บ้านอาม่า และร้องไห้กลับอาม่า อยู่ต่อหน้าเรา ป๊ะป๋าบอกให้เราเข้มแข็งตลอด ไม่ต้องกังวล ดูแลสุขภาพให้ดี จะได้มีคนต่อไป เราได้แต่ร้องไห้ คิดถึงทีไร ก็ร้องไห้ทุกที แต่เราต้องทำใจ สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับมาได้จริง ๆ เรานอนอยู่ รพ.เกือบ 20 วัน เพื่อที่จะให้หมอเช็คสุขภาพทุกระบบของเราว่ายังทำงานดีอยู่หรือไม่ พยายามหาสาเหตุว่าที่เด็กเสียเกิดจากอะไร ก็ไม่สามารถพบได้ (หมอมาบอกทีหลังว่า ครรภ์เป็นพิษ)
กลับมาอยู่บ้าน 3 เดือนเหมือนคนคลอดลูกปกติ พอถึงเวลาต้องไปทำงานนี่สิ ทำใจลำบากจริง ๆ จะมองหน้าเพื่อนได้อย่างไร ถ้ามีคนถามละจะตอบว่าอย่างไร ป๊ะป๋าก็บอกว่า ให้ยอมรับความจริง เราจะหนีความจริงไม่ได้หรอกนะ.... เราจึงกลับไปทำงานด้วยอาการปกติที่สุด เวลาเพื่อน ๆ ถาม ก็ตอบไปตามความจริง แต่เรื่องของเรารู้กันไปทั่วทั้งองค์กรเลยแหล่ะ......